ทำงาน ต้อง “ทำเป็น” ไม่ใช่ “ทำแค่ให้เสร็จ”
หลายคนทำงานมาหลายปีแต่ก็ยังพบว่าตนเองยังงงๆ กับหลายเรื่อง ทั้งๆที่ ก็บอกว่าทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ทำไม ยังผิดพลาด หรือต้องแก้ไข ..ต้องบอกว่า การทำงาน นั้นต้อง “ทำเป็น” ไม่ใช่ “ทำให้เสร็จ”อย่างเดียว เพราะงานที่เสร็จนั้น ยังต้องรอลุ้นก่อนว่า “ถูก หรือผิด” แต่ถ้า “ทำเป็น” แล้ว รับรองว่าไม่ผิด หรือถ้าหากมีคนมาทักท้วง ก็ “อธิบายได้”
มาลองทบทวนดู ว่าเราทำงานอย่างนี้หรือเปล่า
- ต้องรู้ว่าการเป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของรัฐนั้น ทุกคนมีศักดิ์ “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนั้นงานทุกอย่างจึงต้อง “รับผิดและรับชอบ” ดังนั้น เราต้องศึกษาก่อนว่า กฎหมายที่ “คุ้มหัว” เรา ให้อำนาจเราทำงานนั้นได้ คือกฎหมายอะไร เขียนถึงบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบไว้อย่างไร เช่น
พรบ. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นกฎหมายสูงสุดของมหาวิทยาลัยในเรื่ององค์กร โครงสร้าง หน้าที่ การบริหาร
พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ถือเป็นกฎหมายสูงสุดด้านบริหารงานบุคคล
ระเบียบกระทรวงการคลัง เป็นกฎหมายสูงสุดด้านการเงินการคลัง
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุเป็นกฎหมายสูงสุดด้านการบริหารงานพัสดุ
พรบ.การศึกษาแห่งชาติ เป็นกฎหมายสูงสุดด้านการศึกษาและประกาศกระทรวงศึกษาว่าด้วยเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี 48 เป็นกฎหมายที่สถาบันการศึกษาที่เปิดสอนระดับอุดมศึกษา
ต้องยึดถือ
ยังมีอีก มากมาย…..
2. ใช้หลักความรู้ คือ ต้องมีความรู้ก่อนทำงาน ถ้ายังไม่มีความรู้ต้องหาความรู้ก่อน
ณ ปัจจุบัน เราได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านไหน เกี่ยวข้องกับส่วนไหน เราต้องศึกษากฎหมายด้านนั้น นับตั้งแต่กฎหมายสูงสุด(เขียนกว้างๆ ครอบคลุมหลักใหญ่ๆ กฎหมายย่อย (เขียนเฉพาะเรื่อง) ระเบียบข้อบังคับ(ลงรายละเอียด เป็นหลัก แนว วิธีการ) กฎ(บอกสิ่งที่ต้องทำและห้ามทำไว้ชัดเจนมาก) ประกาศ(บอกรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติแต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์ หรือช่วงเวลา) หนังสือเวียน ( อธิบาย ไขข้อข้องใจ ตอบคำถาม ข้อหารือ )
การศึกษากฎหมายนี้ ย้ำว่าต้องศึกษาจากกฎหมายสูงสุด ไล่ลงมาตามกฎหมายย่อยตามลำดับถึงจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด
การหาความรู้นั้นมีหลายวิธี
- ถามผู้รู้
- อ่านหนังสือ ค้นคว้า
- ทดลอง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง (ไม่แนะนำเพราะเสี่ยงกับความเสียหาย แต่แนะนำว่าเคยทำผิดแล้วจำดีกว่า ที่หลังอย่าทำแบบนี้อีก)
ยกตัวอย่าง ให้ดู 2 งาน คือ งานวิชาการ กับงานบุคคล ดังนี้