My Hobby, ไม่มีหมวดหมู่

ปั่นไปถวายความอาลัยพ่อหลวงที่กรุงเทพ 17-22 พ.ย.2559

15107221_716813721806596_3101095249086677237_n

วันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559  เป็นวันที่ประชาชนชาวไทยต้องเสียใจมากที่สุดในชีวิต พระบาทสมเด็จพระปรมิมทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้สวรรคต  ทุกกิจกรรมที่เราทำหยุดนิ่ง หยุดนิ่งทุกสิ่งอย่าง ทุกคนช๊อค หลายคนคิดว่าเป็นฝัน  อยากจะรีบตื่น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริง ปีที่ 89 พรรษา ของพระองค์ ในปีก่อนนั้น เรายังได้ถวายความจงรักภักดีด้วยการปั่นจักรยาน Bike For DAD อยู่เลย และยังคิดว่าปีนี้จะมีกิจกรรมปั่นจักรยานอีกหรือเปล่านะ  เราอยากเข้าร่วมมากเลย  และหลังจากวันนั้นเราก็คิดว่า คงไม่มีกิจกรรมนี้อีกแล้ว พ่อหลวงจากเราไปแล้ว  ในทุกๆวันผมได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ทุกกิจการงานที่พระองค์ทำนั้น เป็นงานที่พระองค์ทำเพื่อประชาชนโดยแท้  ผมน้ำตาไหลแทบทุกวันเลยครับ เพื่อใดที่ได้เป็นโทรทัศน์ได้ฉายพระราชกรณียกิจ พระองค์เหนื่อยเพื่อคนไทยมา 70 ปี แล้ว และทรงงานทุกที่ไม่ว่าจะป่วยหรือเปล่าพระองค์ไม่สนพระทัย พระองค์ทำเพื่อลูกๆของพระองค์โดยแท้  เราในฐานะประชาชนลูกของพระองค์ ก็อยากจะทำอะไรเพื่อพระองมั่ง อย่างน้อย การประพฤติตัวเป็นคนดี ปฏิบัติการงานหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราทำได้  และกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์มีคนรักมากมายแค่ไหน พระองค์ถูกสรรเสริญจากคนหลายกลุ่ม ทั้งต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น UN และผู้นำแระเทศต่างๆก็ล้วนแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระองค์  ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เกิดเป็นคนไทยในรัชกาลที่ ๙  ผมรักพระองค์ท่านมาก  ทุกคั้งที่ดูคลิปที่พระองค์ทรงสะดุดล้มเนื่องจากไม่มีกำลังขา ผมร้องไห้ ไม่อายใครเลยครับ ผมพิมพ์อยู่ตอนนี้ก็ร้องให้ไปด้วยครับ15232249_1679597649017882_8449750846571357319_n

จากเหตุการณ์ข้างต้น ผ่านมาสองถึงสามสัปดาห์ เพื่อเข้าสู่เดือน พฤศจิกายน วันที่ 2 พ.ย.59 พี่วิทยาได้มี message มาหาว่า “สนใจไหมอุบลฯปั่นไปกราบพ่อหลวง กทม.วันที่ 17พย.ปั่นชิวฯตามขบวน” ผม ตอนแรกไม่กล้า เลยขอเวลาพี่แกคืนนึ่ง ลองไปถามทางบ้านดูก่อน  ทางบ้านคุณภรรยา ก็ไม่ห้ามหรือว่าอย่างไร และอาจจะคิดว่า ผมคงไม่ไปหรอก  แต่ตอนเช้าผมได้คิดดีแล้วว่า  ในชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่ครั้งที่จะมีโอกาสได้ทำภารกิจแบบนี้  ถ้าไม่ไปนี้ถือว่า เสียชาติเกิดแน่ๆเลย  ด้วยใจที่จงรักภักดี ผมบอกกับทุกๆคนที่บ้านว่า ผมจะร่วมปั่นไปกราบพ่อหลวงที่กรุงเทพ  และผมตอบตกลงพี่วิทยา ในวันที่ 3 พ.ย.59 เวลา 09.32 น.  เมื่อส่งหลักฐานเรียบร้อยก็มีเวลาเตรียมของอยู้ราวสองสัปดาห์ ระหว่างนั้นเป็นกังวลอย่างมากในการร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ที่กังวลมากที่สุดก็คือ กลัวรายชื่อตกหล่น แล้วจะไม่ได้ไปด้วยเนื่องจาก อ.อิทธิพงศ์ (อ.เก่ง) ก็ไปด้วยแต่ อ.เก่งไปผ่านกลุ่มของปลัดจังหวัดจัดรายชื่อ และแกเข้าร่วมประชุม ซึ่งดูเหมือนว่าหากใครไม่มีชื่อก็อดไป แล้วก็เริ่มกังวลเนื่องจากพี่วิทยาไม่ได้บอกว่าจะต้องเข้าประขุมอะไร เลยต้องมีการตรวจสอบรายชื่อเพื่อความมั่นใจอยู่ตลอดเวลา จนพบรายชื่อตัวเองแล้ว ก็โล่งเลย(หากเพื่อนๆที่อ่านพอจะนึกออก มีช่วงหนึ่งที่ผมโพสว่าเครียด..อันนั่นคือ กลัวไม่มีรายชื่อได้ไปนะครับ ไม่ใช้เครียดเพราะอย่างอื่น )

paco-pack

การเตรียมพร้อมของผม ในส่วนของร่างกาย ผมเองก็ได้ปั่นจักรยานเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ส่วนจักรยานนั้น ต้องเตรียมการเป็นพิเศษ เนื่องจากไปกับสายทัวริ่ง ก็เลยต้องแปลงร่าง เสือภูเขาเป้นทั่วริ่ง โดยการซื้อตะแกรงหลังและกระเป๋าสัมภาระมาใส่ ให้พอเป็นทัวริ่งชั่วคราวได้บ้าง ซึ่งจริงๆแล้วทางทีมงานได้เตรียมรถขนสัมภาระให้อยู่แล้วสามารถเอารถเบาๆปั่นไปได้เช่นกัน แต่สำหรับผม ผมคิดว่าการใช้รถที่แบกน้ำหนักเยอะๆนั้น ท้าทายมากกว่า จึงใช้รถทั่วริ่ง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะไหวหรือเปล่า ก็แต่งแล้วออกมาอย่างที่เด็นนั่นแหละครับ หลอใช้ได้เลยทีเดียว เจ้า PACO

การปั่นมีการแบ่งออกเป็น 5 วัน แต่ละวันจะมีเป้าหมายในการเดินทางว่าจะไปที่ไหน  วันแรก อุบล ถึงสุรินทร์ 177กม. วันที่ 2 สุรินทร์ ถึง อ.หนองกี่ (บุรีรัมย์) วันที่ 3 หนองกี่ ถึง ค่ายทหารสุนัขทหาร (ปากช่อง) วันที่ 4 ค่ายทหารสุนัขทหาร ถึงอยุทธยา (พระอินทราชา) วันที่ 5 อยุธยา ถึงลานพระบรมรูปทรงม้า กรุงเทพมหานคร

คืนก่อนเดินทาง พยายามนอนให้หลับแต่หัววัน แต่ก็หลับๆตื่นๆ เพราะตื่นเต้น ใจก็กังวลว่าจะปั่นได้ถึงหรือเปล่าเพราะอาจจะนอนไม่ค่อยหลับ นาฬิกาปลุกตีสี่ ก็ลุกขึ้นมาทันที ทำธุระอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตรวจเช็คของที่จะเอาไป แล้วตีห้า ออกเดินทางไปเอากุญแจฝากบ้านแม่ แม่อวยพรให้เดินทางปลอดภัย แล้วก็ปั่นไปรวมตัวที่ทุ่งศรีเมือง

แรกๆรู้สึกไม่ถนัดเอาซะเลยปั่น ปั่นไม่ออกความเร็วไม่ได้ อะไรๆก็ดูแปลกๆไป อาจจะเพราะเพิ่งติดบาร์เอนเข้าไปด้วยยังไม่ชำนาญ เลยดูแปลกๆ ติดไปพอลองใช้ดูขัดๆ มากเลย (อันนี้แหละจะเป็นเหตุที่ทำให้บาดเจ็บในการเดินทางซึ่งจะเล่าให้้ฟังภายหลัง)

เมื่อถึงทุ่งศรีเมือง ก็พบว่าจักรยานจอดเต็มไปหมดเลย  รู้สึกตื่นเต้น แล้วก็เริ่มมองหา อาจารย์เก่งและอาจารโป๊ก..แล้วก็พี่วิทยา แล้วก็เจอกันครบ ซึ่ง สรุปว่าทีม ม.อุบล ไปกันสี่คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดกว่าทุกๆครั้ง ซึ่งเดิม จะมีเพียงพี่วิทยาคนเดียวที่ไป แต่ครั้งนี้ พิเศษสุดๆแล้ว  มีนักปั่น ม.อุบลร่วมกิจกรรมถึงสี่คน

15192722_1238687212857136_827763191300095145_n

เริ่มออกเดินทางวันที่ 17 พ.ย. 2559 โดยผู้ว่าราชการังหวัดอุบลราชธานี  นายสมศักดิ์ จังตระกูล ได้รับรายงานจากรองผู้ว่าราชการฯ นายสันติ เหล่าบุญเสงี่ยม เป็นผู้กล่าวรายงาน และมีผู้บริหารระดับสูงอีกคนคือ ท่านแรงงานจังหวัด ท่าน กฤตพัฒน์ ครุฑกุล ท่านผู้ว่าราชการได้กล่าวให้โอวาสแก่นักปั่นทุกคนและได้ปล่อยขบวนจักรยานที่จะเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมห่นคร ผมก็นำจักรยานเข้าขบวนปั่นกับกลุ่มเพื่อปั่นกับเค้าด้วย ซึ่งระยะแรก 30 ก.ม. จะพักที่ ปั๊ม ปตท. กันทรารมย์  และไปพักต่อที่ ปั๊ม ปตท.ศรีสะเกษ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและชมรมจักรยานศรีเกษได้ให้การต้อนรับ

(26 พ.ค.60) ไม่ได้พิมพ์ต่อนาน อาจจะมีหลงๆลืมๆ  ลองต่อดูเนาะ   วันแรกเราเดินทาง 170 กิโลเมตรไปถึงสุรินทร ด้วยการที่เราไม่มีเวลาเซ็ตจักรยานให้เข้ากับร่างกายสักเท่าไหร่ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ที่หัวเข่า มีความกังวลว่าจะปั่นต่อไม่ไหว ช่วงเย็นได้เจ้าหน้าที่แพทย์แผนไทยจากศูนย์สุขภาพที่10ช่วยนวดรักษา ก็ทำให้คลายปวดลงบ้าง แต่รู้สึกขัดๆที่เข่าอย่างแรง ก็ได้แต่ลุ้นว่านอนพักแล้วตอนเช้าคงจะหายดี  เมื่อเข้าวันที่สองของการเดินทาง เป็นการปั่นจาก สุรินทรไปบุรีรัมย์ที่ หนองกี่  ผมร่วมปั่นด้วย แต่พอเริ่มปั่นได้ 8 กิโลเมตร ก็เกิดอาการปวดเข่าอย่างแรง ถึงขั้นปั่นไม่ไหว รู้สึกเสียใจมาก ใจก็คิดว่าผมจบแค่นี้เหรอ แย่แล้ว ภารกิจล้มเหลวแน่นอน วันนี้ผมต้องหยุด ยอมแพ้ ผมโบกรถเซอร์วิสเพื่อขอไปด้วย วันนี้ ได้พบแพทย์ประจำทริป คุณหมอได้ให้ยาทานเพื่อคลายกล้ามเนื้อและแก้ปวด  วันนี้ผมต้องพึ่งยาหมอแล้ว ในวันนี้ผมได้นั่งรถดูเพื่อนปั่นไปจนถึงหนองกี่ ก็ดีอย่าง คือได้พัก ทำให้ร่างกายฟื้นตัว วันนี้ได้แยกไปนอนพักที่โรงแรมกับ อ.เก่ง อ.โป๊ก เพื่อจะได้พักผ่อนได้เต็มที่ แล้วก็ลุ้นว่าพรุ่งนี้จะหายทันมั้ย และระหว่างนี้ก็ได้ปรับจักรยานให้เหมาะสมกับร่างการและดียิ่งขึ้น น่าจะพอไปได้  พอวันที่สาม เริ่มเดินทาง วันนี้ร่างการผมหายแล้ว เข่าที่ขัดและปวดก็หายแล้ว วันนี้ผมได้กลับมาทำภารกิจปั่นกับเพื่อนๆต่อได้แล้ว วันนี้เป็นการเดินทางระยะ จากหนองกี่ ไปที่ ค่ายทหารสุนัขที่ลำตะคลอง  ทางส่วนมากเป็นทางราบไปจรถึงแยกสีคิ้วแล้วก็เป็นเนินเขา ช่วงลำตะคลอง เราปั่นมา ถึงช่วงโชคชัย ปรากฏเห็นมีคนเดินเท้าเพื่อไปถวายความอาลัยพ่อหลวง ในใจรู้สึกตื้นตันมาก ผมได้เอาน้ำไปให้เค้าหนึ่งขวด เพื่อแสดงความนับถือ แล้วบอกเค้าว่าไปเจอกันที่กรุงเทพนะครับ   วันนี้เกิดเหตุรองเม้าเจ้ากรรมพื้นหลุด หมดสภาพใช้งาน เลยต้องหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอา ก็ได้ยางรัดของเอามารัดเอา แล้วก็เดินทางต่อ เป้นการเดินทางที่ไม่สนใจแล้วว่าอุปกรณ์เราจะดีหรือไม่ดี เราต้องไปให้ถึง ช่วงนี้มีทั้งปีนเนินและไหลลงเนิน เจอปัญหาเรื่องศูนย์ถ่วงรถไม่ดีนั้เนื่องจากเป้นจักรยานเสือภูเขาดัดแปลงมาบรรทุกสัมภาระ ดังนั้นเวลาไหลลงเนินก็ต้องแตะเบรคเพื่อชะลอความเร็ว ไม่ให้เร็วเกินไป ไม่งั้นอาจจะล้มได้  วันนี้ผมไม่เจ็บอะไรแล้ว รู้สึกดี ในการกลับมาปั่นได้อีกครั้ง เราพักผ่อนที่กองพันทหารสุนัข ก็ได้บรรยากาศแบบทหาร เพราะเป็นโรงนอนแบบทหาร เราพักผ่อนและเตรียมพร้อมสำหรับออกปั่นวันที่สี่ ซึ่งเป็นการปั่นจากลำตะคลองไปถึง รังสิต

วันที่สี่ เราพร้อมออกเดินทางต่อ ก่อนนออกเดินทางเราได้ถ่ายรูปเป้นที่ระลึกตามเรื่อง แล้วเราก็ปั่นออกแต่เช้าเลย วันนี้เส้นทางเป็นช่วงลงเขาค่อนข้างยาว ที่น่ากลัวคือข่วงทางลงเขาที่จะเข้าโรงปูนแก่งคอย เพราะเป็นทางลาดยาวแล้วก็ชัน ความเร็วในการลงสูงมาก ต้องประคองรถให้ไม่เร็วเกินไปไม่งั้นหลุดโค้งแน่นอน ทุกคนผ่าน เราพักทานข้าวเที่ยงที่สระบุรี แล้วเดินทางต่อ วันนี้เป้นวันแห่งความประทับใจ เพราะเราได้เข้าร่วมกิจกรรมกับชาวพระอินทราชาที่อยุธยา ในการแปรอักษรเลข ๙ เราเลี้ยวเข้าในชุมชนฯ ซึ่งเป้นตลาด เราได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านด้วยความอบอุ่น หลายคนน้ำตาคลอด้วยความปลื้มปิติในการต้อนรับของชาวบ้าน หลายคนบอกว่า”เป็นทริปปั่นที่ดีที่สุดในชีวิต” ซึ่งผมเห็นด้วยเป้นอย่างยิ่ง เป็นวันที่ดีมากเราได้ร่วมกิจกรรมและรับประทานอาหาร แล้วเข้าพักที่ ราชภัฏพระอินทราชา (มั้ย) นอนใต้อาคาร  ก่อนพักผ่อนได้ฟังการวางแผนการเดินทางในวันที่ห้าเป้นการปั่นเข้าไปที่กรุงเทพมหานคร จากทางท่านรองสันติ  ว่าจะใช้รถนำขบวนแบบไหนไปอย่างไร    เช้าวันที่ห้าเราเตรียมเข้ากรุงเทพกัน ในช่วงแรกเรามีรถยนต์นำขบวน แต่พอขยับเข้าในตัวกรุงเทพก็ได้พบกับการจราจรที่หนาแน่นแบบกรุงเทพ เราเริ่มปรับขบวนปั่นแบบสองแถวแทรกไปกับการจราจร ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซด์อาสาสมัครกู้ภัยได้นำทางพาเราไปในตัวกรุงเทพ เราปั่นผ่านดอนเมือง แล้วไปแวะรอตำรวจจราจรที่ลาดพร้าว ซึ่งการจราจรแน่นมาก ความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกว่ากรุงเทพเปลี่ยนไปมาก เพราะผมเองไม่ได้เข้ากรุงเทพมาหลายปีแล้ว รู้สึกงงๆ ว่าอะไรอยู่ที่ไหน พอจราจรมา เราออกเดินทางต่อ เราเดินทางสักพักก็เข้าสู่เขตดุสิต เห็นรั้วบ้านพ่อหลวงแล้ว เราได้ปั่นต่อไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า แล้วภสรกิจเราก็เสร็จสิ้น  หลายๆคนได้ถ่ายรูปไว้เป้นที่ระลึก ผมโทรกลับบ้านไปหาภรรยาและแม่ บอกว่า “ผมทำได้แล้วนะครับ ผมมาถึงกรุงเทพแล้วนะครับ” น้ำตาไหลออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้มันปลื้มปิติในใจ เราได้เรียนรู้หลายอย่างจากการเดินทางครั้งนี้ มันประทับในใจเป้นอย่างมาก ในวันถัดไปเราจะได้เข้าถวายอาลัยแล้วนะ วันนี้เราได้เดินทางไปพักที่สนามม้านางเลิ้ง เพื่อพักผ่อน ผมได้ฝากรถกลับกับรถศูนย์สุขภาพที่10 ซึ่งผมจะได้ร่วมเดินทางกลับด้วย ซึ่งจะเล่าให้ฝังถึงความทรมารบันเทิงในการเดินทางกลับ ซึ่งต้องจำไปอีกนาน

About admin

No information is provided by the author.

Comments Closed

Comments are closed. You will not be able to post a comment in this post.