Relax, ครอบครัวและเพื่อนๆ

ออกทริป 120 Km ใน 5 ชั่วโมง กับ แข่งวัดใจไกลเกินร้อยกับเทศบาลเมืองเดชฯ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มิ.ย.55 ได้มีโอกาสร่วมทดสอบร่างกายและจิตใจกับทริป ปั่นวัดใจ ไกลเกินร้อย ครั้งที่ 1 โดยทางเทศบาลเมืองเดชและกลุ่มเสือที่เมืองเดชฯได้จัดขึ้น เป็นทริปที่น่าประทับใจมากอีกทริปหนึ่ง และเป็นทริปที่เป็นการแข่งขันเพื่อให้เข้าสู่เส้นชัยภายในเวลาไม่เกิน 5 ชั่วโมง (บีบใจกันเล็กน้อย) ผมทำได้ 4 ชั่วโมงครึ่ง

ส่วนตัวนั้นได้ติดตามข่าวสารจากทางเว็บ www.ubonmtb.com มาสักระยะหนึ่งแล้วและก็ตั้งใจว่าจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นนอน แล้วที่สำคัญอาจารย์เจริญได้ชวนผมเข้าร่วมอีกเช่นเคย..รู้สึกดีใจมากครับที่จะได้ปั่นกับอาจารย์เจริญ ก็ได้สมัครเข้าร่วมแข่งขันในรายการนี้  ซึ่งตั้งเป้าหมายเพียงแค่ ขอให้ปั่นถึงจุดหมาย ส่วนเวลาไม่สนใจว่าจะเป็นอย่างไร

แต่คงต้องย้อนกลับไปก่อนจุดเริ่มต้นการแข่งขัน คือว่า ช่วงเดือน พ.ค.55 นั้น มีกิจกรรมอื่นๆเกิดขึ้นมากมาย ทำให้ไม่มีโอกาสได้ปั่นจักรยานเลย คือทิ้งไปดื้อๆ ประมาณ 3 สัปดาห์กว่าๆ เฮ้อ..

พึ่งจะมีโอกาสได้ปั่นวอร์มก่อนแข่งประมาณ 2-3 สัปดาห์ (เสาร์-อาทิตย์) พอดีเพื่อนรักได้ออกจักรยานเลยปั่นเป็นเพื่อนกัน เป็นเสือภูเขา)  ในใจก็กังวลว่า เราจะยืนระยะถึงปลายทางได้หรือเปล่าหว่า ซ้อมน้อยขนาดนี้  แล้วก็นัดกับอาจารย์เจริญ ว่าใช้เสือหมอบด้วย แต่ตอนนี้ใช้เสือภูเขาอยู่นี้หว่า    พอดีว่า คุณภรรยาเดินทางไปราชการ 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.-16 มิ.ย. ตอนเย็นรับลูกเสร็จ เลยได้มีโอกาสซ้อมเสือหมอบบ้าง วันละ 20 กิโลเมตร เพื่อให้คุ้นเคยกับเสือหมอบ  (ก็ยังดีเนาะ)

เส้นทางและอากาศในวันแข่งขัน   อันดับแรก เส้นทางนั้น เป็นสามเหลี่ยมคล้ายๆกับรวงผึ้ง ดูเท่ดีอะครับ  ส่วนความยากง่ายในการปั่นนั้น แบ่งเป็นช่วงๆได้ดังนี้

ช่วงแรก จากจุดเริ่มต้น เดชอุดม ไปยัง นาจะหลวย เส้นทางดีใช้ได้เลย เป็นทาง น่าปั่น แล้วก็ปั่นสนุกมาก เป็นเนินแล้วก็โค้งบ้างเล็กน้อย ทำความเร็วได้ดี นักปั่นส่วนใหญ่จะเร่งทำเวลาในช่วงนี้กัน เห็นได้จาก เสือภูเขา แซงกันเป็นแถวเลย (หมอบโดนแซง อิอิ) สองข้างทางเป็นบ้านเรือนสลับกับสวนยาง มีชาวบ้านออกมาเชียรเป็นระยะๆ

ช่วงที่สอง จากนาจะหลวยไปบุณฑริก เป็นเส้นทางลาดยาง เดิมเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ทางทหารช่วงสงคราม  ทางค้อนข้างดี มีเนินสลับไปมา ทำให้ได้ไหลลงเนินแล้วก็อัดขึ้นเนินเป็นช่วงๆ ก็มีบางคนขึ้นรถไปลงช่วงหน้ากัน (งง) ช่วงนี้ผมก็ยังปั่นได้สบายดีอยู่ครับ ได้ลากเพื่อนๆยาวไปถึงบุณฑริก..เลยละครับ ไม่รู้เพื่อนหลุดท้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ช่วงที่สาม จาก บุณฑริกไปเดชอุดม อันนี้ต้องบอกว่าเซอร์ไฟรส์ตั้งแต่เลี้ยวซ้ายไปทางเดชอุดมเลย คือ มีเนินรอยู่เลยครับ โอ้…แล้วก็เป็นลาดยาวด้วยต้องอัดเต็มที่เลยละครับถึงจะขึ้นได้(ตอนนั้แรงเริ่มหมดแล้ว) ถัดไปสักพักก็เจอทางที่เปิดผิวจราจรเป็นลูกรังแบบเจอน้ำฝนก็เละเลยครับโอ..โคลนล้วนๆเลย ถัดมาก็สักประมาณ ยี่สิบกิโลเมตรจะถึงเส้นชัยทางก็เริ่มดีขึ้น แต่เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน คิดในใจว่า จะสู้ต่อหรือจะยอมแพ้  ใจล้วนๆครับ สิบกิโลสุดท้ายนิ อยากให้จบไว้ๆ มีทั้งลองสปรินสักพักก็หยุดเพราะว่าหมดแรง

ชนะใจตนเอง มันช่างสุดยอดจริงๆครับ  คือว่ามีหลายๆช่วงที่ได้เห็นหลายๆท่านต้องขึ้นท้ายรถกระบะแล้วไปลงปั่นต่อในช่วงหน้าจะด้วยสาเหตุใดๆก็แล้วแต่นั้น สำหรับผมแล้วการไปครั้งนี้ใจเกินร้อยตามสโลแกนตั้งแต่ก่อนแข่งแล้วครับ การไปด้วยกำลังขาตนเองแบบสุดๆโดยไม่ต้องพึ่งใครเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้ว่าเรี่ยวแรงเราจะถดถอย  ข้อเข้าจะปวดร้าว เจ็บก้นระบม ก็อดทน “เราทำได้ เราต้องทำได้” วินาทีที่เข้าเส้นชัย มันชนะทุกสิ่งทุกอย่าง มันปิติข้างในมันบอกไม่ถูก เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าแก่การจดจำครับผม

มิตรภาพระหว่างการปั่น  เป็นช่วงเวลาที่งดงาม เราได้เห็นใจและแสดงน้ำใจแก่เพื่อนร่วมทาง ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนใหม่จากบุรีรัมย์แล้ได้ช่วยกันลากกันไปสลับไปมาอยู่นานเลยครับ แล้วก็มีกลุ่มเสือต่างๆมาร่วมแจมช่วยกันลากไปได้พูดคุยเฮฮากันอย่างสนุกสนาน หลายคนคิดว่าผมเป็นเสือต่างถิ่นมาจากบุรีรัมย์กับเพื่อนให้ไปซะเลย.. “โดนชมว่าลากเก่ง ก็เลยจัดให้ยาวเลยครับไปถึงบุณฑริกเลย ฮ่าๆๆ” เสียใจนิดๆครับที่พอเข้าช่วงบุณฑริกแล้วผมสปรินฉีกตัวออก แล้วไม่มีใครตามมา เลยต้องแตกกลุ่มกัน ครั้นตั้งใจว่าพอถึงเส้นชัยแล้วหาโอกาสคุยกันแต่ก็ไม่เจอกัน คงต้องโอกาสหน้าเจอกันใหม่ครับผม

บรรยากาศในการปั่น โดยรวมตั้งแต่เช้ามา ฝนก็เทลงมา แล้วก็ตกปรอยๆทั้งวันเลยครับ ทำให้อากาศดีมาก อาจารย์เจริญบอกว่าปั่นตากฝนดี ไม่เหนือย อันนี้เห็นด้วยเลยครับ เพราะถ้าแดดแรงๆนิ ผมคงจอดไปแล้ว.. การปั่นท่ามกลางสายฝนนั้นไม่เหนื่อยเลยครับเย็นสบาย แต่เปียกแล้วก็สกปรกครับ ผมตามท้ายเค้า นิ น้ำดีดถูกหน้าตลอดแต่ก็ไม่เป็นไรครับ ชิลๆ  ความเร็วในการปั่นก็ได้ 27-35 Km/H ตามประสานักปั่นสมัครเล่น จะให้แรงเหมือนหนุ่มๆก็คงเป็นการฆ่าตัวตายอะ เอาที่ตัวเองไปได้แบบสบายๆก็โอเคแล้ว  สรุปว่า ไม่มีแดดเลยครับ  แต่ขาดำอยู่นะครับ UV แท้ๆเลย ดำ.คอม อิอิ

อาหารและพลังงาน  เป็นหัวใจสำคัญอีกตัวที่จะมองข้ามไม่ได้เลย อาจารย์เจริญแนะนำว่าต้องกินมากๆก่อนแข่ง 3 วัน โอ้..ละน่อ.. มาม่ามาแล้วสองวัน วันสุดท้ายนี้แหละครับ ก็ยังกินธรรมดานะ แต่ผมมีตัวช่วยครับ ชุดโปรตีนนิวทรีไลท์ของแอมเวย์ อัดทุกวัน ตอนเช้าก่อนไปก็ 1 แก้วใหญ่ แล้วก็ระหว่างทาง มีช๊อกโกแลต 4 แท่ง กล้วยน้ำว้า 4-5 ลูก น้ำเปล่า กินมาเรื่อยๆครับ ทำให้ชาร์ทพลังงานได้ดี ทำให้ไม่หมดแรง อันนี้ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เจริญเป็นอย่างยิ่งที่แนะนำไว้ก่อนล่วงหน้าครับผม

ชุดขับเคลื่อน SORA ก็พามาถึงเส้นชัยได้  ในทริปนี้ หันซ้ายแลขวา เจอแต่ TIAGRA ,105,ULTIAGRA โอ้…ของเทพๆทั้งนั้น แล้วเราละ  SORA ธรรมดาครับผม (ถ้ามีโอกาสจะอัพแน่)  อันนี้ต้องบอกว่า เอาแรงเข้าใส่อย่างเดียวเลยครับ ก็ไหวอยู่นะ  แถมยังลากคนอื่นได้อีกด้วย (อิอิ)  เหมือนน้องที่เคยร่วมปั่นบอกไว้ว่า อยู่ที่แรงของเราครับ อุปกรณ์เป็นส่วนเสริม ก็จริงของเค้านะ เอาเป็นว่า งบน้อยค่อยๆปั่นฝึกขาไว้ก่อน รองบประมาณแล้วค่อยเปลี่ยน เวลานั้นคงพุ่งราวติดปีก(บ้าไปแล้ว)  คือมีโอกาสได้ยกรถที่เบาๆแล้วรู้สึกได้ว่ามันเจ๋ง อยากเปลี่ยนมั้ง (เอาไว้ก่อนเนาะ) ผมเชื่อว่าแรงดีย่อมไปได้ไกล  ของดีแต่ไม่ได้ซ้อมก็ไม่ช่วยอะไรได้

บทสรุปสำหรับทริปนี้  ต้องขอขอบคุณทีมงานผู้จัดการแข่งขันเป็นอย่างยิ่งที่จัดทริปดีๆมาให้เราได้ปั่นทำให้เราได้มีกิจกรรมที่สนุกสนานได้ทำกัน โอกาสหน้าถ้ามีอีกจะเข้าร่วมอย่างแน่นนอนครับผม ทริปหน้าใกล้ๆนี้  DATAC คงได้สนุกอีกครั้งครับ สวัสดีครับ

About admin

No information is provided by the author.

Comments Closed

Comments are closed. You will not be able to post a comment in this post.